All posts by AllAll

อุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บวัคซีน

อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บและขนส่งวัคซีนและการดูแลรักษาอุปกรณ์ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้กำกับอุณหภูมิ

อุปกรณ์ที่ใช้เก็บวัคซีน ได้แก่ ตู้เย็น หีบเย็น กระติกวัคซีน ไอซ์แพค

อุปกรณ์ที่ใช้ในการกำกับติดตามอุณหภูมิซึ่งมีหลายชนิด เช่น VVM, Freeze watch, Data logger และ Thermometer

whattokeep

ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพของวัคซีน

วัคซีน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสิ่งที่มีชีวิตหรือที่ได้จากการสังเคราะห์หรือกระบวนการอื่นและนำมาใช้ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคของมนุษย์ การที่วัคซีนจะคงสภาพและความแรงอยู่ได้นั้นมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ประการคือ ความร้อน ความเย็น และแสง

factoreffect

 

1. ความร้อน

วัคซีนทุกชนิดจะสูญเสียคุณภาพถ้าสัมผัสกับความร้อน แต่วัคซีนชนิดต่างๆ จะไวต่อความร้อนไม่เท่ากัน โดยสามารถเรียงลำดับความไวต่อความร้อน  (Heat sensitivity) ได้ดังนี้ จากรูปจะเห็นว่า OPV ไวต่อความร้อนมากที่สุด ทำให้วัคซีนชนิดนี้ต้องเก็บในช่องแช่แข็ง -15 ถึง -25 องศาเซลเซียส และที่รองมาคือ MMR เป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์เหมือนกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์จะชอบความเย็นจัดและทนต่อความร้อนได้น้อย จะเสื่อมสภาพเร็วถ้าสัมผัสความร้อน ดังภาพที่ 1

HotSensitive

การเรียงลำดับของวัคซีนตามความไวต่อความร้อน  (Heat sensitivity)

 

2. ความเย็นจัด (freeze sensititvity)

วัคซีนเชื้อตายที่มี antigen จับกับสารช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (adjuvant) เช่น HBV, DTP-HB, DTP, dTมีความไวต่อความเย็นจัด ในขณะที่มีความไวต่อความร้อนจัดเช่นเดียวกัน วัคซีนกลุ่มนี้ถ้าเกิดการแข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส จะทำให้ adjuvant กับ antigen แตกออกจากกัน ทำให้วัคซีนสูญเสียความแรงและเสื่อมสภาพทันที

coldSensitivea

การเรียงลำดับของวัคซีนตามความไวต่อความเย็นจัด  (Freeze sensitivity)

 

3. แสง (light sensitivity)

วัคซีนชนิดผงแห้ง (freeze dried vaccine) เช่น BCG, MMR, MRและJE (เชื้อเป็น) เป็นวัคซีนที่ไวต่อความร้อนแล้วยังไวต่อแสงด้วย ทั้งแสงจากดวงอาทิตย์และแสง fluorescent จะเสื่อมเร็วขึ้นหากผสมกับน้ำยาทำละลายแล้ว

lightsence

สรุปผลของอุณหภูมิที่มีวัคซีน

วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ จะชอบความเย็นจัด และจะเสื่อมสภาพเร็วเมื่อสัมผัสความร้อน
วัคซีนเชื้อตายและท็อกซอยด์ จะเสื่อมสภาพทันที่เมื่อสัมผัสความเย็นจัด

 

การเดินทางของวัคซีนกับการรักษาอุณหภูมิในแต่ละระดับ

ภาพแสดงการเก็บรักษาวัคซีนในระบบลูกโซ่ความเย็น

coldChainSystem

จะเห็นว่ากว่าวัคซีนจะถึงผู้รับบริการนั้นมีการขนส่งกันในหลายระดับ หากคนทำงานวัคซีนไม่เข้าใจและไม่เห็นความสำคัญในจุดนี้ ก็จะทำให้วัคซีนที่นำมาให้บริการอาจเสื่อมสภาพจากความไม่รู้ได้  เราจึงควรรู้ว่าจะเก็บวัคซีนอย่างไรให้ปลอดภัยและสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผู้รับบริการปลอดโรคได้

ลูกโซ่ความเย็นคืออะไร ?

มีคำๆหนึ่งที่อาจจะไม่คุ้นหูทุกคน นั่นคือคำว่า ระบบลูกโซ่ความเย็น เรามาทำความรู้จักกับคำๆนี้ก่อนดีกว่าว่าอะไรคือระบบลูกโซ่ความเย็น และคำนี้สำคัญในงานวัคซีนอย่างไรบ้าง

ระบบลูกโซ่ความเย็น (cold chain system) คือระบบการออกแบบและจัดการที่จะทำให้วัคซีนอยู่ในอุณหภูมิที่ถูกต้องเหมาะสมตลอดเวลาทั้งในขณะจัดเก็บและขนส่งวัคซีนจนกระทั่งถึงหน่วยบริการ และรวมถึงขั้นตอนในขณะให้บริการที่ต้องนำวัคซีนที่มีอยู่ในสภาพที่เหมาะสมเข้าสู่ร่างกายผู้รับบริการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสุงสุดของวัคซีน

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง ปัจจุบัน ประเทศไทยทำการกระจายวัคซีนด้วยระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) ขององค์การเภสัชกรรม (GPO) โดยมีการกระจายวัคซีนจากคลังในส่วนกลางของ GPO ถึงโรงพยาบาลแม่ข่าย (CUP) ที่เป็นคลังวัคซีนในระดับอำเภอโดยตรง และกระจายวัคซีนให้หน่วยบริการลูกข่าย ซึ่งในคลังวัคซีนระดับอำเภอและหน่วยบริการก็จะมีการจัดเก็บวัคซีนไว้ในภาชนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น หีบเย็น หรือกระติกวัคซีน เป็นต้น

Herd Immunity คืออะไร?

ภูมิคุ้มกันระดับชุมชน Herd Immunity

การให้วัคซีนในแต่ละคนนั้น นอกจากจะส่งผลต่อการป้องกันโรคของคนๆ  นั้นแล้ว ยังทำให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคถึงในชุมชนหรือที่เรียกว่า Herd Immunity ได้ เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการที่มีจำนวนประชากรในชุมชนมากพอที่จะทำให้ไม่สามารถเพิ่มจำนวนผู้เป็นโรค และแพร่การะจายโรคสู่บุคคลอื่นได้อีก

Herd Immunity จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ โรคนั้นต้องติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น ถ้ามีแหล่งรังโรคที่อื่นนอกเหนือจากในคน ก็ไม่สามารถทำให้เกิด Herd Immunity ได้

Herd Immunity

Herd Immunity

 

เหตุผลที่ไม่ควรมารับวัคซีนก่อนกำหนด

primaryandsecondaryresponse

จากการที่ร่างกายจดจำแอนติเจนได้  เพราะฉะนั้น  ถ้าเด็กมารับวัคซีนล่าช้ากว่ากำหนด  ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่  แต่ถ้าให้วัคซีนใกล้กันเกินไปอาจทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพราะระดับแอนติบอดีในร่างกายที่สูงอยู่จะจับกับแอนติเจน(วัคซีน)ที่ได้รับเข้าไปใหม่ ทำให้แอนติเจนนั้นซึ่งก็คือวัคซีน  สูญเสียประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (neutralization)

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ปฏิบัติงานคงได้รู้จักวัคซีนกันมากขึ้นโดยแบ่งประเภทของวัคซีนได้ถูกต้อง สามารถอธิบายถึงกลไกการออกฤทธิ์หรือการเกิดภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายจากการได้รับวัคซีนได้ และสามารถอธิบายเหตุผลของการให้วัคซีนในระยะที่กำหนดและเหตุผลของการปฏิบัติเมื่อมีกรณีมารับวัคซีนล่าช้าได้อย่างชัดเจน

การออกฤทธิ์ของวัคซีนกับการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในร่างกาย

การออกฤทธิ์ของวัคซีนกับการสร้างภูมิคุ้มกันโรคในร่างกาย เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันแบบ primary และ secondary response

เมื่อร่างกายได้รับแอนติเจนหรือวัคซีนครั้งแรก ระบบภูมิคุ้มกันจะตองสนองโดยสร้างแอนติบอดี  เรียกว่า primary response  ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับแอนติเจนจนกระทั่งเริ่มตรวจพบแอนติบอดีได้  เรียกว่า lag period ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-30 วัน หรือนานกว่านี้  ขึ้นอยู่กับปริมาณ  ชนิดของแอนติเจนและทางที่แอนติเจนเข้าสู่ร่างกายหลังผ่าน lag period ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยส่วนใหญ่เป็น IgM  ซึ่งอยู่ได้ระยะหนึ่งแล้วจะลดต่ำลง  ในขณะเดียวกันร่างกายจะมีกลไกการสร้าง IgG แม้จะสร้างได้ทีหลังแต่จะมีระดับ antibody ที่สูงกว่าและอยู่ในร่างกายนานกว่า

เมื่อร่างกายได้รับแอนติเจนชนิดเดิมอีก  memory cell ซึ่งจดจำ antigen ไว้  จะกระตุ้นการตอบสนองของร่างกายรวดเร็วกว่าครั้งแรก เรียกว่า secondary response แอนติบอดีจะอยู่ได้นานและมีประสิทธิภาพมากกว่า  โดยส่วนใหญ่จะเป็น IgG จึงใช้หลักการนี้ในการให้วัคซีนหลายครั้งเพื่อให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคได้นานหลายปี

primaryandsecondaryresponse