ชื่อวัคซีน:บีซีจี (BCG)
ผลิตจากเชื้อ
Mycobacterium Bovis สายพันธุ์ Bacilus Calmette Guerin (BCG)
ประเภทวัคซีน
เชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
- ชนิดผงแห้งที่ผลิตโดยสภากาชาดไทย (ขนาดบรรจุขวดละ 10 doses) ฉีดเข้าชั้นในหนัง ปริมาณ 0.1 มล.
- ชนิดผงแห้ง ของบริษัท Serum Institute of India (SII) (ขนาดบรรจุขวดละ 20 doses) ฉีดเข้าชั้นในหนัง ปริมาณ 0.05 มล. ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และครั้งละ 0.1 มล.ในเด็กที่อายุ 1 ปีขึ้นไป
ระยะเวลาที่ใช้
ให้เพียงครั้งเดียว
- ฉีดให้ทารกแรกเกิดทุกรายก่อนออกจากโรงพยาบาลรวมทั้งทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV และไม่มีอาการ
- หากมีบันทึกว่าเคยได้รับมาแล้ว ไม่ต้องให้ซ้ำถึงแม้ว่าจะตรวจไม่พบแผลเป็นบริเวณที่ได้รับวัคซีน (BCG Scar)
- ในกรณีที่ไม่ได้รับเมื่อแรกเกิด สามารถให้ได้ทันทีทุกช่วงอายุเมื่อพบ
ข้อห้าม
ห้ามให้ใน…..
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลัน
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากภาวะโรคต่างๆที่ไม่ใช่จากการติดเชื้อ HIV ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน รวมถึงได้รับรังสีรักษา/เคมีบำบัด
- ห้ามฉีดที่ผิวหนังที่เป็นแผลติดเชื้อหรือแผลไฟไหม้
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : วัคซีนผงแห้ง แช่ในช่องแช่แข็งหรือที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียสได้ ไม่ให้ถูกแสง น้ำยาทำละลายเก็บได้ที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส เท่านั้นหากนำไปเก็บไว้ในช่องแช่แข็งอาจแตกได้
- ขณะใช้ : หากพบว่าตัวทำละลายแตก สามารถใช้ sterile water หรือ normal saline ผสมแทนได้ ให้อ่านฉลากว่าของบริษัทไหนใช้ตัวทำละลายแบบไหน
- หลังใช้ : วัคซีนของสภากาชาดไทย ผสมแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง และของ SII ควรใช้ให้หมดภายใน 6 ชั่วโมง ระหว่างการใช้ต้องเก็บให้พ้นแสงและรักษาอุณหภูมิ+2ถึง +8 องศาเซลเซียส
ปฏิกิริยาที่พบ
2-3 สัปดาห์หลังฉีด จะเกิดตุ่มแดงกลายเป็นฝีหนองเล็กๆและแตกออกในเวลาต่อมา แผลจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็จะแห้งเป็นรอยแผลเป็น
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
ประมาณ 2เดือนหลังได้รับวัคซีนป้องกันการเกิดวัณโรคมีประสิทธิภาพป้องกันวัณโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและวัณโรค ชนิด military ได้ร้อยละ 52-100 แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันวัณโรคปอดยังไม่แน่นอน
ชื่อวัคซีน: ตับอักเสบบี (HBV)
ประเภทวัคซีน
ไวรัสเชื้อตาย (recombinant DNA vaccine จากยีสต์)
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
เป็นวัคซีนแบบน้ำ มีทั้งชนิดเดี่ยว 1 มล./ขวด ใช้ฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อครั้งละ 0.5 มล.ในเด็ก และ 1 มล.ในผู้ใหญ่ และชนิดรวมกับวัคซีนอื่น สามารถใช้ทดแทนกันได้ทุกชนิด
ระยะเวลาที่ให้
3 ครั้ง เมื่อแรกเกิด ช่วงอายุ 1-2 เดือน และ อายุ 6 เดือน ปัจจุบันตามแผนงาน EPI จะผสมในวัคซีนรวมคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก-ตับอักเสบบี ให้เมื่ออายุ 2 4 และ 6 เดือน ดังนั้นจะพบว่าเด็กจะได้รับประมาณ 4 ครั้งรวมที่ได้รับเป็นวัคซีนเดี่ยวตอนแรกเกิด สำหรับผู้ที่มารดาเป็นพาหะหรือ HBsAg เป็นบวกให้ฉีดวัคซีนและให้ HBIG ภายใน 12 ชั่วโมง โดยไม่นับการฉีดวัคซีนครั้งนี้ว่าเป็นเข็มที่ 1 ให้นัดมารับตอนทารกอายุ 1 เดือนและเริ่มนับเข็มที่ 1
ข้อห้าม : ห้ามให้ในผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน
ข้อห้าม : ห้ามให้ในผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน
ข้อห้าม
ห้ามให้ในผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : วัคซีนชนิดน้ำ แช่ในอุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส วัคซีนชนิดนี้เสื่มสภาพได้เร็วมากเมื่อสัมผัสความเย็นจัด
- หลังใช้ : เปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง รักษาอุณหภูมิ+2ถึง +8 องศาเซลเซียส
ปฏิกิริยาที่พบ
ปวด บวม แดงเฉพาะที่และไข้ไม่รุนแรง
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
- ในเด็กปกติหลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 doses จะเกิดภูมิคุ้มกันได้ร้อยละ 95 แต่ภุมิคุ้มกันโรคจะสูงในระดับที่ป้องกันโรคได้นั้นเกิดหลังจากได้รับครั้งที่ 2 ส่วนการให้ครั้งที่ 3 ถือเป็นการกระตุ้นให้ภูมิสูงถึงร้อยละ 95ในเด็กที่มีแม่เป็นพาหะหรือมี HBsAg เป็นบวก ควรให้วัคซีนให้เร็วที่สุดภายใน 12 ชั่วโมง และถ้ามี HBIG (อิมมนูโนโกลบูลิน) ก็ควรให้ภายใน 12 ชั่วโมงจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ถึงร้อยละ 98 การให้ HBIG ในทารกแรกเกิดที่น้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับ 2000 กรัม สามารถรอถึง 7 วันได้ แต่ในทารกน้ำหนักน้อยกว่า 2000 กรัมควรได้รับภายใน 12 ชั่วโมง
- ในเด็กที่แม่เป็นพาหะหรือ HBsAg เป็นบวก เมื่อได้รับวัคซีนครบ 3 doses เด็กทุกรายควรมาตรวจหา Anti-HBs และ HBsAg ที่อายุ 9-18 เดือน หากพบว่า Anti-HBs น้อยกว่า 10 mIU/ml. (non-responder) ควรให้ซ้ำอีก 3 doses และตรวจภูมิคุ้มกันซ้ำอีกหลังจากนั้น 1-2 เดือน ถ้าพบว่าน้อยกว่าระดับที่ควรจะเป็น จะไม่พิจารณาฉีดซ้ำอีก
- อีกกรณีหนึ่งคือ คนที่ได้รับวัคซีนครบ 3 doses แต่มีการสัมผัสโรคและเกิดความเสี่ยงสูง โดยทั่วไปจะให้ฉีดกระตุ้นอีก 1 ครั้ง หรือแนะนำให้ตรวจหา Anti-HBs ก่อน หากพบว่าอยู่ในกลุ่ม non responder จะให้ฉีดกระตุ้นอีก 1 ครั้ง และนัดมาตรวจภูมิคุ้มกันซ้ำอีกหลังจากนั้น 1-2 เดือน ถ้าภูมิคุ้มกันขึ้นแสดงว่าเป็นกลุ่มที่ภูมิลดต่ำตามกาลเวลาไม่ใช่ non responder แต่ถ้าไม่ขึ้นก็ต้องฉีดให้ครบ 3 ครั้ง แล้วตรวจภูมิคุ้มกันอีกครั้ง
ชื่อวัคซีน: คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTwP-HB)
ประเภทวัคซีน
ท็อกซอยด์ แบคทีเรียและไวรัสเชื้อตาย
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
เป็นวัคซีนแบบน้ำ ขนาดบรรจุ 5 มล./ขวด ใช้ฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อครั้งละ 0.5 มล.
ระยะเวลาที่ใช้
3 ครั้ง เมื่ออายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน
ข้อห้าม
ห้ามให้ใน…..
- ห้ามให้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 สัปดาห์ หรือในเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปีและผู้ใหญ่
- เด็กที่กำลังเจ็บป่วยหรือกำลังมีไข้สูง
- สำหรับการได้รับไอกรน ทั้งแบบ whole cell (DTwP-HB) และ acellular (DTaP-HB) ห้ามให้ในผู้ที่มีอาการทางสมองหรือมีโรคทางสมอง เพราะจะไปกระตุ้นอาการให้เลวลงและกระตุ้นอาการชักได้
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : วัคซีนชนิดน้ำ แช่ในอุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส วัคซีนชนิดนี้เสื่อมสภาพได้เร็วมากเมื่อสัมผัสความเย็นจัดเนื่องจากมีส่วนผสมของ HBV
- หลังใช้ : เปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง รักษาอุณหภูมิ+2ถึง +8 องศาเซลเซียส
ปฏิกิริยาที่พบ
ปวด บวม แดงเฉพาะที่ อาจเกิด systemic reaction เช่น ไข้ ชัก ซึม ตัวอ่อนปวกเปียกไม่ตอบสนอง (HHE) ปฏิกิริยาแพ้ anaphylaxis และ arthus like reaction (บวม ปวม แดงลามมาถึงข้อศอก) เกิดจากการได้รับบาดทะยักมากเกินไป
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันต่อคอตีบและบาดทะยักจะเกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก 2 สัปดาห์และเมื่อได้รับครบตามกำหนด ภูมิคุ้มกันต่อคอตีบและบาดทะยักจะอยู่ได้นาน 10 ปี ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันไอกรนนั้นมีอยู่ร้อยละ 75-90 ส่วนโรคตับอักเสบบีจะเกิดเช่นเดียวกับวัคซีนตับอักเสบบี
ชื่อวัคซีน: คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน
ประเภทวัคซีน
ท็อกซอยด์ และแบคทีเรียเชื้อตาย
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
มีทั้งหมด 5 รูปแบบ คือ
- วัคซีนบาดทะยัก (Tetanus toxoid)
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก มี 2 แบบคือ DT, dT
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (DTwP)
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (DTaP)
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (Tdap) สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ เป็นวัคซีนแบบน้ำ ใช้ฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อครั้งละ 0.5 มล.
ระยะเวลาที่ใช้
สำหรับ DTwP และ DTaP ใช้ฉีดกระตุ้น 2 ครั้ง เมื่ออายุ 18 เดือน และ 4 ปี
หากจะใช้ Tdap ใช้แทนเข็มกระตุ้นครั้งที่ 2 หรือในอายุ 4-6 ปีได้
dT ใช้กระตุ้นทุก 10 ปี ในเด็ก ป.6 ทุกคนและผู้ใหญ่
การให้ dTในหญิงตั้งครรภ์
หากจะใช้ Tdap ใช้แทนเข็มกระตุ้นครั้งที่ 2 หรือในอายุ 4-6 ปีได้
dT ใช้กระตุ้นทุก 10 ปี ในเด็ก ป.6 ทุกคนและผู้ใหญ่
การให้ dTในหญิงตั้งครรภ์
- หากไม่มีประวัติว่าได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักมาก่อน ให้ฉีด dT 3 เข็ม โดยให้ฉีดเมื่อมาฝากครรภ์ทันทีถึงช่วง 36 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ระยะห่าง 0,1,6 เดือน (เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มที่ 1 เป็นเวลา 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือน)
- หากเคยได้รับมาแล้ว 1 เข็มนานเท่าไรก็ตามให้ฉีดอีก 2 เข็ม โดยเข็มที่จะเริ่มให้ต้องห่างจากเข็มที่เคยฉีดมาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน ใช้ในกรณีเดียวกับคนที่เคยบอกว่าได้รับแต่จำประวัติไม่ได้ว่าได้มากี่เข็ม ให้ถือว่าได้มา 1 เข็มก็ฉีดเพิ่มให้อีก 2 เข็ม
- หากเคยได้รับมาแล้ว 2 เข็มนานเท่าไรก็ตาม ให้ฉีดอีก 1 เข็ม โดยเข็มที่จะฉีดให้ต้องห่างจากที่เคยฉีดครั้งล่าสุดอย่างน้อย 6 เดือน
- หากได้มาแล้ว 3 เข็มนานเกิน 10 ปี ฉีดกระตุ้นให้อีกเพียงเข็มเดียว ถ้าไม่เกิน 10 ปี ไม่ต้องฉีดในครั้งนี้
การให้ dT กรณีเก็บตกวัคซีนที่มีส่วนประกอบของบาดทะยักในนักเรียนชั้น ป. 1
- เคยได้รับมาครบ 5 ครั้ง ไม่ต้องฉีดให้
- ไม่เคยได้มาก่อนเลย ต้องได้รับ 3 ครั้ง (ตอน ป.1 ให้ 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน และครั้งที่ 3 ให้ตอนอยู่ ป.2 โดยต้องห่างจากเข็มที่ 2 ใน ป.1 อย่างน้อย 6 เดือน)
- เคยได้มา 1 ครั้ง (ตอน ป.1 ให้ 1 ครั้ง และให้ตอนอยู่ ป.2 โดยต้องห่างจากที่ให้ตอน ป.1 อย่างน้อย 6 เดือน)
- เคยได้มา 2,3, 4 ครั้ง ให้เก็บตกตอน ป.1 เพียงครั้งเดียว
ข้อห้าม
ห้ามให้ใน…..
- คนที่เคยมีอาการ anaphylaxis หลังจากได้รับวัคซีนกลุ่มนี้ และเกิดอาการทางสมอง
- เด็กที่มีแนวโน้มจะชักหรือมีประวัติชักให้ใช้ DTaP แทน DTwP
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : วัคซีนชนิดน้ำ แช่ในอุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส
- หลังใช้ : เปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง รักษาอุณหภูมิ+2ถึง +8 องศาเซลเซียส
ปฏิกิริยาที่พบ
ปวด บวม แดงเฉพาะที่ อาจเกิด systemic reaction เช่น ไข้ ชัก ซึม ตัวอ่อนปวกเปียกไม่ตอบสนอง (HHE) ปฏิกิริยาแพ้ anaphylaxis และ arthus like reaction (บวม ปวม แดงลามมาถึงข้อศอก) เกิดจากการได้รับบาดทะยักมากเกินไป
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันต่อคอตีบและบาดทะยักจะเกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนเข็มแรก 2 สัปดาห์และเมื่อได้รับครบตามกำหนด ภูมิคุ้มกันต่อคอตีบและบาดทะยักจะอยู่ได้นาน 10 ปี ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันไอกรนนั้นมีอยู่ร้อยละ 75-90
ชื่อวัคซีน: หัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR)
ประเภทวัคซีน
วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ เชื้อคางทูมสายพันธุ์ Jeryl Lynn
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
- MMR ชนิดผงแห้ง ผสมน้ำยาทำละลาย 0.5 มล. ชนิด 1 dose ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
- MR ชนิดผงแห้งขวดละ 10 doses ผสมน้ำยาทำละลาย 5 มล. ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ระยะเวลาที่ใช้
ปัจจุบันตามแผนงาน EPI ให้แก่เด็กทุกคนจำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มที่อายุ 9 เดือน และครั้งที่ 2 อายุ 2 ปี ครึ่ง
ข้อห้าม
ห้ามให้ใน…..
- ในหญิงตั้งครรภ์เพราะจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เมื่อฉีดในหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรคุมกำเนิดหลังจากนั้นนาน 28 วัน หรือถ้าให้ในหญิงตั้งครรภ์โดยบังเอิญก็ไม่ได้เป็นเหตุผลในการทำแท้ง
- ในคนที่แพ้ neomycin หรือ gelatin แบบ anaphylaxis
- ในเด็กที่ปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
- เด็กทิ่ติดเชื้อ HIV ที่มี CD4 น้อยกว่าร้อยละ 15 หรือมี clinical stage C
- ผู้ที่ได้รับ steroid ขนาดสูง (2mg/kg/day) มาแล้วมากกว่า 14 วัน
- ผู้ที่ได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด
- ผู้ที่แพ้ไข่ขาวแบบรุนแรง
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่องอย่างมากจากโรค การรับการรักษาที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ยกเว้นกลุ่ม B cell defect
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : เก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส ให้พ้นแสง น้ำยาทำละลายสามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้ แต่เมื่อจะนำไปใช้ต้องทำให้ตัวทำละลายมีอุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียสโดยการนำมาแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 1 วัน
- เปิดใช้แล้ว : เก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส ให้พ้นแสง ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง
ปฏิกิริยาที่พบ
อาจมีปฎิกิริยาเฉพาะที่ ผื่นลมพิษ บริเวณที่ฉีด มีไข้ 5 -12 วันหลังฉีด หรือมีเกล็ดเลือดต่ำ
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
เข็มที่ 1 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 85-95 % ถ้าฉีดเมื่ออายุ 9 เดือน หากฉีดเมื่ออายุ 12 เดือนจะมีภูมิคุ้มกัน 63-95 % เข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันป้องกันโรคได้ 96-99%
ชื่อวัคซีน: โปลิโอชนิดกิน (OPV) และชนิดฉีด (IPV)
ประเภทวัคซีน
OPV เชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (bivalent OPV type 1,3) IPV เชื้อตาย (type 1,2,3)
รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
- OPV เป็นวัคซีนแบบน้ำ ใช้หยอดทางปาก ปริมาณ 2-3 หยด ขนาดบรรจุ 10 หรือ 20 doses/ขวด
- IPV เป็นวัคซีนแบบน้ำ ใช้ฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อปริมาณ 0.5 มล. ขนาดบรรจุ 1 หรือ 10 doses/ ขวด นอกจากนี้ IPV ยังอยู่ในรูปแบบของวัคซีนรวมอีกด้วย
ระยะเวลาที่ใช้
ปัจจุบันตามแผนงาน EPI ให้หยอด bivalent OPV จำนวน 5 ครั้ง อายุ 2,4,6,18 เดือนและ 4 ปี สามารถให้เพิ่มในช่วงมีการรณรงค์ได้ ไม่มีผลเสียใดๆ เมื่อหยอดแล้วเด็กอาเจียนออกมาภายใน 5-10 นาทีให้หยอดซ้ำได้แต่ถ้าอาเจียนอีกให้รอ dose ถัดไป สามารถหยอด OPV ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ได้ สำหรับ IPV ให้ตอนอายุ 4 เดือน
ข้อห้าม
- ห้ามหยอด OPV ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำจากโรค จากยาและการรักษาต่างๆ หรือเด็กที่มีคนในบ้านมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ให้ใช้ IPV แทน ห้ามหยอดในหญิงตั้งครรภ์และเด็กที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ให้ใช้ IPV แทนได้
- สำหรับ IPV ห้ามให้ในคนที่มีภาวะแพ้รุนแรงต่อยาปฏิชีวนะ streptomycin, neomycin และ polymycin B
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- ก่อนเปิดใช้ : วัคซีน OPV แช่ในช่องแช่แข็ง หากนำออกมาให้บริการแต่ไม่ได้เปิดใช้งานสามารถนำกลับไปแช่ในช่องแช่แข็งซ้ำได้ 5-10 ครั้ง เมื่อเปิดใช้แล้วเก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียสได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง
- สำหรับ IPV เก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2 ถึง +8 องศาเซลเซียส เปิดใช้แล้วเก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียสได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
ปฏิกิริยาที่พบ
OPV มีผลข้างเคียงน้อยมาก ส่วน IPV อาจมีปฎิกิริยาเฉพาะที่ ปวด บวม แดงหลังฉีดมีไข้
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
เมื่อได้รับ OPV 3 doses จะมีภูมิคุ้มกันต่อทั้ง 3 type ร้อยละ 99 สร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ที่เยื่อบุลำคอและลำไส้ ส่วน IPV จะเกิดภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด
ชื่อวัคซีน: ไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์และเชื้อตาย
ประเภทวัคซีน รูปแบบวัคซีนและขนาดที่ใช้
ปัจจุบันวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี มีใช้ทั้งชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์และเชื้อตาย มีรายละเอียด ดังนี้
- วัคซีนชนิดเชิ้อตาย (inactivated vaccine) เพาะเลี้ยงเชื้อในสมองหนู หรือเรียกกันว่า mouse brain JE มี 2 สายพันธุ์คือ Nagayama ขนาดบรรจุ 1 มล.ต่อขวด ใช้ 0.5 มล.ต่อ dose ในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และใช้ปริมาณ 1 มล./dose ในเด็กอายุมากกว่า 3 ปี และสายพันธุ์ Bejing ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมขนาดบรรจุ 0.5 มล.ต่อขวด ใช้ 0.25 มล.ต่อ dose ในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และใช้ปริมาณ 0.5 มล./dose ในเด็กอายุมากกว่า 3 ปี
- วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live-attenuated vaccine) เพาะเลี้ยงใน cell เพาะเลี้ยงในหนูแฮมเตอร์ มีชื่อการค้าคือ CD JE VAX และอีกชนิดหนึ่งผลิตโดยใช้เทคนิควิศวพันธุกรรม เป็น chimeric vaccine มีชื่อการค้าว่า IMOJEV วัคซีนในกลุ่มนี้ผลิตเป็นผงแห้งและมีน้ำยาทำละลาย ใช้แบบ single dose ( ปัจจุบันมีการนำวัคซีน JE เชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่มีชื่อทางการค้าว่า THAIJEV ซึ่งมีขนาดบรรจุ 2cc เมื่อผสมแล้วใช้ได้ 4 doses )
ระยะเวลาที่ให้
วัคซีนชนิดเชื้อตายให้ 3 ครั้งที่อายุ 1 ปี 1 ปี 1 เดือน(เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์) และ 2 ปีครึ่ง
ส่วนวัคซีนเชื้อเป็นให้ 2 ครั้ง ที่อายุ 1 ปี และ 2 ปีครึ่ง (ให้ห่างกันอย่างน้อย 3-12 เดือน)
ส่วนวัคซีนเชื้อเป็นให้ 2 ครั้ง ที่อายุ 1 ปี และ 2 ปีครึ่ง (ให้ห่างกันอย่างน้อย 3-12 เดือน)
ข้อห้าม
ในหญิงตั้งครรภ์ ในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เจ็บป่วยเฉียบพลัน
การเก็บรักษาวัคซีนก่อนและหลังเปิดใช้ :
- เก็บไว้ที่อุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียส ให้พ้นแสง ในเชื้อเป็นที่มีน้ำยาทำละลายสามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้
- แต่เมื่อจะนำไปใช้ต้องทำให้ตัวทำละลายมีอุณหภูมิ +2ถึง +8 องศาเซลเซียสโดยการนำมาแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 1 วัน เปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้ 8 ชั่วโมง
ปฏิกิริยาที่พบ
อาจพบปวด บวมเฉพาะที่ หรือผื่นลมพิษได้
การขึ้นของภมูิคุ้มกัน
เมื่อได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตายจำนวน 2 ครั้งจะมีภูมิคุ้มกันร้อยละ 94 และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ร้อยละ 80-91 หากได้รับครบ 3 ครั้งจะมีภูมิคุ้มกันร้อยละ 90-100 จะคงอยู่ 3-5 ปี หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น และทั้งสองสายพันธุ์เกิดประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน ในส่วนของวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์หลังฉีดครั้งแรกประมาณ 3 เดือนระดับภูมิคุ้มกันจะขึ้นร้อยละ 95 และเมื่อได้ครั้งที่ 2 ระดับภูมิคุ้มกันจะขึ้นร้อยละ 100 ภูมิคุ้มกันจะคงอยูได้นาน
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการให้วัคซีน JE
เนื่องจากปัจจุบันบางพื้นที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านของการใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายมาเป็นชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ทำให้บางครั้งมีการให้วัควีนทั้งสองกลุ่มในผู้รับบริการคนเดียวกัน โดยมีหลักการ ดังนี้
- หากเริ่มเข็มแรกด้วยวัคซีนเชื้อตาย และจะมาฉีดต่อด้วยเชื้อเป็น สามารถทำได้ โดยให้ได้รับเชื้อเป็นอีก 2 ครั้งห่างกัน 3-12 เดือน
- หากเริ่มด้วยวัคซีนเชื้อเป็น จะมาต่อด้วยวัคซีนเชื้อตายก็สามารถทำได้ โดยฉีดอีก 1 เข็มเท่านั้นโดยต้องห่างจากครั้งแรก 6-12 เดือน