ผศ.ดร.ปรีย์กมล รัชนกุลและคณะ (เรียบเรียง)
ผศ.ดร.ปรีย์กมล รัชนกุล คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ (ผู้จัดทำสื่อ)
E-Learning » Chapter 6

6.8 การสังเกตอาการและตรวจร่างกายผู้รับบริการ
อ่าน 5274 ครั้ง

นอกเหนือจากการซักประวัติแล้ว การสังเกตลักษณะท่าทางและอาการแสดงของเด็กก่อนได้รับวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากการได้ข้อมูลจากการซักประวัติเพียงอย่างเดียวอาจจะยังไม่น่าเชื่อถือเพียงพอเท่ากับการมีข้อมูลจากการสังเกตและตรวจร่างกายมาประกอบการตัดสินใจ ผู้ให้บริการควรใช้หลักการตรวจร่างกายพื้นฐาน คือ ดู คลำ เคาะ ฟัง และใช้อุปกรณ์การตรวจร่างกายที่จำเป็น ดังนี้

  1. ผู้ให้บริการควรต้องสังเกตลักษณะทั่วไปของผู้รับบริการ สิ่งที่ผู้ให้บริการควรสังเกต    คือ ลักษณะท่าทาง การตอบสนองของเด็ก หากเด็กซึม ดูอ่อนเพลียมาก ต้องประเมินสภาพและซักประวัติเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อประเมินความพร้อมที่จะรับวัคซีน ไม่ควรตัดสินใจเพียงแค่ได้ข้อมูลจากผู้ปกครองหรือผู้ให้บริการเท่านั้น
  2. การสังเกตรอยที่ฉีดวัคซีนเมื่อครั้งที่ผ่านมาเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจว่า ครั้งนี้จะฉีดวัคซีนบริเวณใดข้างใดเพื่อไม่ให้มีการฉีดวัคซีนที่เดิมซ้ำๆ หรือฉีดวัคซีนบริเวณผิวหนังที่มีปัญหา เช่น ผิวหนังมีเป็นแผล burn หรือติดเชื้อ เป็นต้น
  3. การตรวจร่างกายหรือประเมินสภาพเพิ่มเติม เพื่อยืนยันอาการที่ผิดปกติที่เป็นข้อห้ามในการได้รับวัคซีน หากผู้ปกครองให้ข้อมูลว่าเด็กมีไข้ในช่วงเวลาใกล้ๆ กับการมารับวัคซีน ควรวัดอุณหภูมิร่างกายพร้อมกับถามประวัติการให้ยาลดไข้ นอกจากนี้ยังต้องประเมินสภาพในระบบต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่นหากเด็กมีไข้สูง มีเสมหะหรือน้ำมูกเขียว ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน และทำความเข้าใจกับผู้รับบริการว่า การฉีดวัคซีนที่ล่าช้าไปกว่ากำหนดไม่ได้มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดน้อยลง เมื่ออาการดีขึ้นหรือหายจากอาการต่าง ๆ แล้ว ให้พาเด็กมารับวัคซีนทันทีและให้เน้นย้ำว่า “เมื่ออาการดีขึ้นหรือหายจากอาการต่าง ๆ แล้ว ให้พาเด็กมารับวัคซีนทันที”
  4. การสังเกตความพร้อมทางด้านจิตใจ อารมณ์ของเด็กจะทำให้ผู้ให้บริการคำนึงถึงการเตรียมเด็ก และการรับมือกับเด็ก เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะมีความกลัวในการรับการตรวจร่างกายหรือฉีดวัคซีน เพราะการฉีดวัคซีนจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อและความรู้สึกเจ็บ ผู้ให้บริการจึงต้องคำนึงถึงหลักการของ atraumatic care หรือการดูแลที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน ได้แก่ การเข้าใจในพัฒนาการตามวัยของเด็ก เลือกวิธีการเข้าหาเด็กหรือเตรียมเด็กที่ทำให้เด็กไม่เกิดความกลัว ไม่ใช้คำพูดข่มขู่หรือแสดงท่าทีคุกคามเด็ก มีการพูดคุยสร้างบรรยากาศ ให้วัคซีนด้วยเทคนิควิธีการที่ถูกต้อง รวดเร็วและปลอดภัย เป็นต้น อีกทั้งในบางกรณีผู้ให้บริการยังจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในผู้ปกครองอีกด้วย